เดือน: มีนาคม 2020

สุดท้ายก็ต้องไป ถึงแม้ช่วงนี้ข่าวการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและทั่วโลกจะเงียบเหงา แต่ข่าวการย้ายทีมของนักฟุตบอลในช่วงปิดฤดูกาลนี้ ก็ยังคงมีเป็นระยะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวกองหน้าของทีมปืนใหญ่อาร์เซนอล เอริค โอบาเมยอง ที่มีข่าวไม่เว้นแต่ละวันว่า กัปตันทีมกองหน้าอาร์เซนอลรายนี้นั้น มีโอกาสที่จะไม่ต่อสัญญาที่เหลือแค่ปีเดียวกับทัพปืนโต ค่อนข้างสูง ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ทีมปืนใหญ่ต้องตัดสินใจขายนักเตะรายนี้ออกไป ก่อนที่จะไม่ได้เงินแม้แต่ก้อนเดียว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้นทางผู้สื่อข่าวของอังกฤษก็ได้รายงานว่า ทางศูนย์หน้ารายนี้ ก็มีใจที่อยากจะต่อสัญญากับทัพปืนใหญ่นี้อยู่เหมือนกัน

เพราะตั้งแต่ทีมปืนใหญ่ได้เปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น มิเกล อาร์เตต้า แล้วนั่น ผลงานและรูปแบบการเล่นของทีมก็เปลี่ยนไปในทางทีดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งตัวของศูนย์หน้ารายนี้ก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับการไว้วางใจจาก กุนซือคนใหม่ ให้สวมปลอกแขนกัปตันทีม เดินพาลูกทีมลงสนามทุกครั้ง

แต่สิ่งหนึ่งที่ทางศูนย์หน้าคนนี้ ยังกังวลและลังเลในการต่อสัญญานั้น ก็เพราะด้วยตัวเค้าเองนั้น อายุขึ้นเลขหลักสามแล้ว เค้าจึงอยากโหยหาคว้าความสำเร็จมาประดับแข้งเพื่อเป็นบารมีของเค้า ซึ่งถ้าหากเค้าฝากความหวังนี้ไว้กับทัพปืนโต มันอาจจะทำให้ความฝันนั้นเค้าไม่เป็นจริง เพราะสิ่งที่เค้าเห็นมาตลอดเกือบสามฤดูกาลกับทัพปืนใหญ่นั้น คือเงินงบประมาณในแต่ละทีมที่บอร์ดบริหารของอาร์เซนอลนั้น

ไม่เคยกล้าที่จะทุ่มทุนซื้อตัวนักเตะเข้ามาเสริมกำลังเพียงพอ ผิดกับทีมอื่นๆ ที่พอถึงช่วงตลาดนักเตะนั้น จะช็อปปิ้งกันเป็นสารพัน นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่จะทำให้ นักเตะศูนย์หน้า กาบอง คนนี้ไม่อยากต่อสัญญาด้วย และกับปัจจุบัน ที่มีสโมสรยักษ์ใหญ่ของโลก อย่างคู่แข่งในพรีเมียร์ลีกนั้น แมนยู ก็ให้ความสนใจในตัวเค้าเหมือนกัน แต่คงไม่สำคัญไปเท่ากับที่ยานต่างดาว

เจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลน่ามีความสนใจที่จะดึงตัวนักเตะคนนี้ไปเป็นตัวแทนของ หลุยส์ ซัวเรซ ซึ่งในระยะแรกอาจจะเล่นร่วมกันไปก่อน กับเมสซี่ และหลุยส์ ซัวเรซ ซึ่งจะหลายเป็นสามประสานที่ทางเจ้าบุญทุ่มตามหาตัวแทนของเนย์มาร์ มาตลอด ดังนั้น หากเจ้าบุญทุ่ม ยื่นข้อเสนอเจรจาเข้ามาจริงๆ นั้น โอบาเมยอง คงไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะการที่เค้าไปบาร์ซ่านั้น หมายความว่า ความสำเร็จรอเค้าอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น และปืนใหญ่อาจจะต้องยอมตัดใจขายไปดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

สนับสนุนเรื่องราวโดย  เว็บบาคาร่าฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ

พระปลอมจริงไหม? สำหรับเขาเรื่องพระปลอมมักจะมีมาให้เราเห็นกันอยู่เสมอตามสื่อทีวีวิทยุต่างๆ เหตุการณ์ในครั้งนี้มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านทาง facebook เมื่อวันที่ 18 เดือนสิงหาคมปีพศ 2563 โดยในคลิปจะเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งไปกระชากแขนพระรูปหนึ่งแล้วตะโกนว่าพระองค์นี้เป็นพระปลอมเนื่องจากว่าเขาบอกว่าพระองค์นี้ไม่สามารถที่จะบอกความหมายของคำถามที่เขาถามได้โดยชายคนดังกล่าวถามพระที่กำลังเดินบิณฑบาตอยู่ว่าเลข 13 หมายถึงอะไรซึ่งพระน่าจะยังงงๆพี่อยู่ๆก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาถามคำถามฉันจึงไม่ได้พูดอะไร

ทำให้ชายคนดังกล่าวบอกว่าพระองค์นี้คือพระปลอมและต้องการจะกลับพระไปส่งตำรวจซึ่งในคลิปจะเห็นว่าพระท่านก็บอกว่ามีบัตรของพระสงฆ์สามารถที่จะหยิบให้ตรวจสอบได้โดยใช้คนดังกล่าวก็ไม่สนใจยังคงตะโกนว่าเป็นพระปลอมจนชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นต้องพากันมาช่วยจับเขาแยกออกจากพระ ซึ่งคลิปดังกล่าวถูกโพสต์ใน  facebook ของข่าวคนนนท์เนื่องจากชาวบ้านได้มีการถ่ายคลิปเอาไว้เพราะเห็นว่ามีชายท่าทางแปลกๆวิ่งปรี่เข้าใส่พระสงฆ์แล้วก็เอะอะโวยวายทันทีจึงได้ลงมือถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐานแล้วนำมาโพสต์ ตรงไหนคือจะเห็นว่าชายคนดังกล่าวได้อธิบายว่าทำไมเขาถึงต้องถามคำว่าเลข 13

เนื่องจากเขามีความเชื่อว่าเลข 13 เป็นเลขของซาตานดังนั้นหากเป็นพระสงฆ์จริงๆจะต้องทราบความหมายของรหัสลับในเลข 13 นี้แต่เมื่อพระสงฆ์ไม่สามารถบอกคำตอบที่ถูกต้องได้แสดงว่าพระสงฆ์องค์นี้ไม่ใช่พระสงฆ์ที่แท้จริงแต่เป็นพระปลอมเพื่อมาบิณฑบาตขอเงินชาวบ้านเท่านั้นในที่สุดสถานการณ์ก็สงบลงได้ด้วยการที่พระสงฆ์รูปนั้นรีบเดินไปขึ้นรถแท็กซี่ในระหว่างที่แท็กซี่กำลังจะออกรถชายคนดังกล่าวก็ยังวิ่งตามไปขวางรถแท็กซี่จนชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นต้องพากันมาดึงตัวเขาออกมาตรงริมฟุตบาทแล้ว

มีการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาดูแลซึ่งเมื่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงพระสงฆ์รูปนั้นก็ได้ขึ้นแท็กซี่ไปแล้วเหลือเพียงชายคนดังกล่าวไว้คนเดียวซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดนนทบุรีตรงหน้าศาลากลางจังหวัดพอดีในช่วงเย็นของเมื่อวานซืน สำนักข่าวได้ไปสอบถามประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้นเขาเล่าให้ฟังว่าชายคนดังกล่าวน่าจะเป็นชายที่สติไม่ดีเพราะว่าครั้งแรก มีคนเห็นว่าเขากำลังพยายามจะวิ่งข้ามถนนซึ่งเป็นภาพที่น่าหวาดเสียวมากเพราะว่ารถบริเวณนั้นมีเยอะมากหลายคนเกรงว่าเขาจะถูกรถชนด้วยซ้ำไปและเมื่อวิ่งข้ามมาถึงเขาก็ตรงดิ่งเข้าไปที่พระสงฆ์แล้วตะโกนเรียกว่าพระปลอมอย่างเดียวโดยที่ไม่สนใจอะไรเลย 

คู่แข่งขันฟุตบอลที่ดุเดือดที่สุดในอิตาลี คือ การเปิดสนามพบกันระหว่างยูเวนตุส พบอินเตอร์ มิลานในวันที่ 9 มีนาคมนี้ หลายฝ่ายจับจ้องกันว่าเกมนี้จะเปิดการแข่งขันกันต่อหรือไม่ ซึ่งเกมนี้เลื่อนมาจากโปรแกรมเดิมที่จะแข่งวันที่ 1 มีนาคมก่อนที่จะเกิดเหตุไวรัส โคโรน่าที่อิตาลี

คู่แข่งขันฟุตบอลที่ดุเดือดที่สุดในอิตาลี วันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลีประกาศอย่างเป็นทางการว่าการแข่งขันฟุตบอลจะต้องลงแข่งท่ามกลางสนามปิด เพราะว่าตรวจพบผู้ที่ติดเชื้อไวรัส covid-19 ทางตอนเหนือของอิตาลี และสองวันต่อมาสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี ตัดสินใจเลื่อนการแข่งขัน ดาร์บี้แมตช์ของทางฝั่งอิตาลี เกมยูเวนตุส vs อินเตอร์ มิลานออกไป ซึ่งพวกเขาประกาศก่อนเริ่มเกมเพียง 36 ชั่วโมงเท่านั้น 

แฟนอินเตอร์ มิลานก็ออกไปประท้วงเพราะว่าไม่ต้องการให้เลื่อนแข่ง แต่เปาโล ดัล ปิโน่ประธานเซเรีย อา โดยท่านประธานของอินเตอร์ สตีเฟ่น ซางถึงกับกล่าวหาว่า เปาโล ทำงานได้ตลกมาก

อย่างไรก็ตามเกมช่วงวันที่ 21-22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา 4  เกมก็ถูกเลื่อนออกไปก่อนหน้านี้ และถ้าอินเตอร์ผ่าเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลโคปป้า อิตาเลียหรือ ยูโรป้า ลีก พวกเขาจะมีโปรแกรมชุดช่วงท้ายฤดูกาลแน่

และสุดท้ายเกมนี้ถูกตัดสินใจให้มาแข่งกันวันที่ 9 มีนาคมนี้ โดยการแข่งขันจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด และก่อนหน้าที่จะแข่งในวันพฤหัสทางเจ้าหน้าที่ของทั้งยูเว่ และอินเตอร์เข้ามาตรวจสอบสถานการณ์อยู่ก่อนแล้ว

ดาร์บี้แห่งอิตาเลีย เกมนี้ทั้งสองทีมไม่ได้เป็นทีมจ่าฝูง เพราะว่าลาซิโอ ที่ลงสนามมากว่า ขึ้นนำเหนือทั้งคู่ไปแล้วด้วยการทีม 62 แต้ม จาก 26 เกมแต่ว่ายูเวนตุสที่มี 60 แต้มจากการลงสนาม 25 เกม (น้อยกว่าลาซิโออยู่ 1 เกม) ส่วนอินเตอร์มี 54 แต้มจาก 24 เกม หากว่าเก็บชัยชนะได้ทั้งหมดก็ยังมีแต้มตามหลัง ลาซิโออยู่ดี

ยูเวนตุสฟอร์มนัดล่าสุดจริงๆ คือการออกไปเยือนลียง ที่ฝรั่งเศส ในรายการแชมเปี้ยนส์ลีกวันที่ 26 กุมภาพันธ์แล้วก็แพ้ 1-0 นับเป็นผลงานที่ย่ำแย่ของเมาริซิโอ ซาร์รี่ในช่วงนี้ โดยทีมใช้จ่ายเงินไปมากกว่า 200 ล้านยูโรเมื่อซื้อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และมัทไธส์ เดอ ลิกต์แต่ว่าก็ยังแพ้ต่อลียงทีมอันดับ 5 ของลีกเอิง

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะคว้าแชมป์ลีกมากที่สุดในประเทศ แต่ว่าเมื่อมองดูดีๆ แล้ว มีเพียง 6 จาก 19 เกมที่พวกเขาชนะทีมคู่แข่งมากกว่า 1 ประตู คือเป็นการเบียดชนะซะมากกว่า 

โรนัลโด้ยังเป็นนักเตะคีย์แมนคนสำคัญของทีม เมื่อยิงได้ 16 ประตูจาก 11 เกมในเซเรีย อา และเขายังเล่นเข้ากับ เปาโล ดิบาล่า ได้เป็นอย่างดี 

วิเคราะห์ทีมชาติฮอลแลนด์ ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 2020

วิเคราะห์ทีมชาติฮอลแลนด์ ฟลายอิ้งดัชต์แมน หรืออัศวินสีส้ม ฉายาทีมชาติฮอลแลนด์ อดีตแชมป์ยุโรปปี 1988 จากการแข่งขันครั้งที่ 8 ในยุครุ่งเรืองของสามทหารเสือซึ่งประกอบไปด้วย มาร์โกแวนบาสเท่น แฟร้งค์ ไรการ์ด และ รุด กุลลิท

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ทีมชาติฮอลแลนด์ยังไม่สามารถกลับมายิ่งใหญ่ได้เหมือนในยุคนั้น ซึ่งหลังจากหมดยุค 3 ทหารเสือทีมชาติฮอลแลนด์ล้มลุกคลุกคลานอย่างไม่เป็นท่า จะมีดีก็เพียงแต่ในช่วงฟุตบอลโลกที่สามารถเคยทำได้รองแชมป์แพ้ทีมชาติสเปนไปอย่างหวุดหวิด 1 ประตูต่อ 0 จากนั้นทีมชาติฮอลแลนด์ภายใต้สายเลือดใหม่และนำทัพโดย โรนัลด์คูมันซึ่งเป็นอดีตนักฟุตบอลชาวดัตช์ ซึ่งมีชื่อเสียงอันโด่งดังจากผลงานการยิงประตูในระยะไกลที่สุดแม่นยำ ผลงานในรอบคัดเลือกทีมชาติฮอลแลนด์สามารถผ่านเข้ารอบ สุดท้ายได้โดยได้อันดับ 2 เป็นรองจากทีมชาติเยอรมนี

ซึ่งในรอบสุดท้ายได้มีการจับฉลากแบ่งกลุ่มเป็นที่เรียบร้อยฮอลแลนด์อยู่สายเดียวร่วมกับทีมชาติยูเครนออสเตรเลียและอีก 1 ทีมจากการเพลย์ออฟสายดี หากดูจากรายชื่อทีมร่วมกลุ่มแล้วฮอลแลนด์ถือว่าได้เปรียบกว่าคู่ต่อสู้เยอะและมีโอกาสที่จะผ่านเข้ารอบลึกๆได้เป็นที่แน่นอน และมองดูถึงตัวผู้เล่นในชุดนี้ทีมชาติฮอลแลนด์ก็มีตัวนักเตะดีๆอย่างมากมาย

ไล่เรียงตั้งแต่ผู้รักษาประตู แยสเปอร์ ซิลิเซ่น จากทีมบาร์เซโลน่า ส่วนกองหลังก็จะมี แมสธิส เดอ ลิกต์ จากยูเวนตุส เวอร์จิลฟานไดค์ จากสโมสรลิเวอร์พูล สเตฟานเดอฟรีจ์จากทีมอินเตอร์มิลาน ส่วนกองกลางจะมี แฟรงกี้เดอยอง จากสโมสรบาร์เซโลน่า และจอร์จินิโอ ไวนัลดุมจากสโมสรลิเวอร์พูล ส่วนกองหน้ายังมีตัวเก๋าอย่างไรอันบาเบลและ สเตฟาน์ เดอไฟร์ ดาวรุ่งจากพีเอสวีไอนด์โฮเฟ่น

ซึ่งตอนนี้ได้ย้ายไปอยู่ทีมสโมสรท็อตแน่มฮ็อทสเปอร์แล้วและยังมีลุคเดอยองก์ อีก ซึ่งต้องบอกเลยว่าทีมชาติฮอลแลนด์ชุดนี้แข็งโป๊กเอามากๆ ส่วนอัตราต่อรองสำหรับบ่อนการพนันอย่างถูกกฎหมาย ของสื่อต่างประเทศยกให้ทีมชาติฮอลแลนด์ชุดนี้เป็นถึงเต็งสี่ ซึ่งถ้ามองดูจากโปรแกรมการแข่งขันที่ทีมชาติเนเธอร์แลนด์จะต้องพบกับทีมชาติยูเครนใน นัดแรกวันที่ 15 เดือนมิถุนายนตอนนั้นนัดที่ 2 ทีมชาติเนเธอร์แลนด์จะเปิดศึกเจอกับทีมชาติออสเตรเลียในวันที่ 19 เดือนมิถุนายน

และแข่งแมตช์สุดท้ายกับทีมที่ชนะเลิศจากกลุ่มเพลย์ออฟเข้ามาซึ่งมองดูขนาดนี้แล้ว เนเธอร์แลนด์ชุดนี้มีโอกาสที่จะทะลุเข้ารอบลึกจนไปถึงรอบชิงทีเดียวซึ่งถ้า โรนัล คูมัน ปลุกกำลังใจให้กับทีมยุคใหม่ยุคนี้ได้เชื่อเหลือเกินว่าทีมชาติเนเธอร์แลนด์จะเป็นม้ามืดและ แล้วมีโอกาสคว้าแชมป์ได้เหมือนรุ่นที่ 3 ทหารเสือที่เคยทำไว้

ทีมอาร์เซนอล ตอนนี้เหลือแค่ชื่อ ไร้ความสามารถและบารมีของนักเตะ หลังจากหมดยุคของ กุนซือที่มีนามว่า อาแซน เวนเกอร์ 

ทีมอาร์เซนอล คำว่าปืนใหญ่ ก็ไม่มีคำว่าน่ากลัวอีกต่อไป กุนซือที่เข้ามาทดแทนอย่าง อูนี่ เออไมรี่ ที่มากด้วยประสบการณ์ ดีกรีพ่วงมาจากแชมป์ลีกเอิง อย่างปารีสแซงแชร์แมง ก็ยังเอาไม่อยู่ ยังต้องกระเด็นตกเก้าอี้ เปลี่ยนมาเป็นกุนซือขัดตาทัพแทนอย่าง เฟรดดี้ ลุงเบริก์ อดีตลูกศิษย์ของ อาแซน เวนเกอร์ ยุคไร้พ่าย ซึ่งได้โอกาสลองคุมขัดตาทัพ 

ได้ไปเรียนรู้วิชากับยอดกุนซือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่แมนซิตี้นั้น จะได้นำวิชาติดตัวกลับมาปุกปั้นปืนใหญ่ ให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง แต่ดูๆ ไปแล้ว สำหรับฤดูกาลนี้ คงเป็นไปได้เพียงแค่การประคับประคอง ให้อยู่รอดในพรีเมียร์ลีก ซะมากกว่า เพราะหลังจาก อาร์เตต้า เข้ามาคุมทีมได้เกือบสิบนัดนั้น ทีมยังสะกดคำว่าชนะได้ไม่ถึงครึ่ง

ยังดีหน่อยตรงที่ ฟอร์มการเล่น ดูมีทรงบอลมากขึ้น มีการต่อบอลและการเข้าทำที่เป็นรูปแบบมากขึ้น  แต่จริงๆ แล้วปัญหาหลักๆของอาร์เซนอลนั้น หากให้มองกันจริงๆ แล้วนั้น น่าจะอยู่ที่บอร์ดบริหารซะมากกว่า เนื่องจากเป็นปัญหาตั้งแต่ตอนที่ อาแซน เวนเกอร์ ยังคงคุมทีมอยู่แล้วนั้น ทางตัวผู้จัดการทีมเอง ไม่เคยได้เงินมาซื้อนักเตะ เหมือนกับยักษ์ใหญ่ทีมอื่นๆ

ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าปัญหาของทีมอยู่ตรงไหน แต่ก็ไม่สามารถมีเงินมาซื้อนักเตะ บิ๊กเนม หรือเก่งจริงๆ มาอุดรอยรั่วได้ แล้วยิ่งหมดยุค อาแซน เวนเกอร์ แล้วนั้น  ทำให้บารมีในการดึงนักเตะด้วยการซื้อใจยิ่งลดลงไปอีก หากดูๆแล้ว คงหมดยุคคำว่าปืนใหญ่ แล้วจริงๆ ซึ่งปัจจุบันนักเตะที่มีอยู่ในทีมดังๆ อย่าง ปิแอร์ โอมาเบยอง หรือ ลากาแซต

เริ่มจะหมดใจกับทีม และหาโอกาสย้ายออกจากทีมตลอดเวลา หากมองถึงความเป็นจริงคงจะโทษตัวนักเตะไม่ได้ เพราะนี่คือโลกของฟุตบอลที่ตัวนักเตะเองก็ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตการค้าแข้งของตัวเอง ซึ่งสุดท้ายแล้วหากอาร์เซนอล ยังต้องการกลับมายิ่งใหญ่เหมือนในอดีตนั้น ทางบอร์ดผู้บริหารคงต้องเริ่มปรับทัศนะคติของตัวเอง ในการลงทุนซื้อนักเตะ และบริหารการจัดการทีมให้มากกว่านี้ ถ้าไม่อย่างนั้น เราอาจเห็น ปืนใหญ่ กระบอกแตกจริงๆ